เชียงใหม่-ธปท. สำนักงานภาคเหนือแถลง “ภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคเหนือ ไตรมาส 2 ปี 2568”
เชียงใหม่-ธปท. สำนักงานภาคเหนือแถลง “ภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคเหนือ ไตรมาส 2 ปี 2568”
วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ (ธปท. สภน.) โดยนางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส แถลงข่าว “ภาวะเศรษฐกิจและการเงินภาคเหนือ ไตรมาส 2 ปี 2568”ณ ห้องเขลางค์นคร อาคารสำนักงาน ชั้น 1 ธปท. สำนักงานภาคเหนือ
นางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. สำนักงานภาคเหนือ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจภาคเหนือ ไตรมาส 2 ปี 2568 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงโดยการบริโภคหดตัวเล็กน้อย กำลังซื้อและความเชื่อมั่นที่ลดลง การลงทุนภาคเอกชนหดตัวทั้งด้านการก่อสร้างและการผลิต ผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวตามการผลิตน้ำตาล ผลิตภัณฑ์นม และสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวขยายตัวเล็กน้อยเนื่องจากในช่วงต้นไตรมาสมีเทศกาลและการจัดกิจกรรมในพื้นที่ ด้านการเบิกจ่ายภาครัฐขยายตัวต่อเนื่องจากทั้งรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำ
รายได้เกษตรกร ขยายตัว จากด้านผลผลิตที่เพิ่มขึ้นตามข้าวนาปรังเพราะช่วงเพาะปลูกปริมาณน้ำและสภาพอากาศเอื้ออำนวย ประกอบกับลิ้นจี่เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำปีก่อนที่ผลผลิตน้อยเป็นประวัติการณ์ ส่วนด้านราคายังหดตัวต่อเนื่อง ตามราคาข้าวเปลือกและมันสำปะหลังที่ปรับลดลงตามการส่งออก ประกอบกับราคาลิ้นจี่ที่ลดลงตามคุณภาพและปริมาณที่มีมากในปีนี้
ภาคอุตสาหกรรม หดตัว จากการผลิตน้ำตาลที่ลดลงหลังเร่งผลิตไปในช่วงก่อน ผลิตภัณฑ์นมแปรรูปลดลงตามการส่งออกไปอาเซียน และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ เซรามิก ผลิตภัณฑ์ไม้ และเฟอร์นิเจอร์ ปรับลดลงตามความต้องการของคู่ค้าที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวส่วนหนึ่งจากการเร่งสั่งซื้อของคู่ค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้
การท่องเที่ยว ขยายตัวชะลอลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ขยายตัว จากการจัดกิจกรรมในช่วงต้นไตรมาสและวันหยุดยาว อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทรงตัว จากชาวจีนที่ลดลง แม้ชาวเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้น สะท้อนจากจำนวนผู้โดยสารผ่านท่าอากาศยานภาคเหนือ และชาวต่างชาติผ่าน ตม. เชียงใหม่ อย่างไรก็ดี อัตราเข้าพักแรม และรายรับรวมภาคท่องเที่ยวยังขยายตัว
การอุปโภคบริโภค หดตัวเล็กน้อย ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงจากปริมาณฝนที่มากและนานกว่าปีก่อน กำลังซื้อที่ลดลง และการระมัดระวังการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การบริโภคเกี่ยวเนื่องกับภาคบริการปรับดีขึ้นในช่วงเทศกาลและวันหยุดยาว และรถยนต์นั่งที่ปรับดีขึ้นจากการส่งมอบหลัง motor show ในรุ่นที่เปิดตัวใหม่ และการปรับลดราคาโดยเฉพาะ EV ขณะที่รถกระบะและจักรยานยนต์ยังหดตัว
การลงทุนภาคเอกชน หดตัว ตามการลงทุนเพื่อการก่อสร้างในหมวดยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบหดตัว เช่นเดียวกับการลงทุนเพื่อการผลิตหดตัวจากการนำเข้าสินค้าทุนของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอลง และยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัวจากรถกระบะและรถบรรทุก
การค้าผ่านด่านศุลกากร ขยายตัว ตามการส่งออกทุเรียนและมังคุดไปจีน น้ำมันเชื้อเพลิงไป สปป.ลาว ที่ขยายตัว ขณะที่หลายหมวดสินค้าไปเมียนมาหดตัว เนื่องจากการขนส่งสินค้าเข้าพื้นที่ชั้นในเมียนมาช่วงฤดูฝนทำได้ยากขึ้น ขณะที่การนำเข้าหดตัวเล็กน้อย ตามการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจาก สปป.ลาว และผลไม้จากจีนที่หดตัว อย่างไรก็ดี แร่พลวงจากเมียนมาขยายตัว
อัตราเงินเฟ้อ ติดลบเล็กน้อย จากราคาหมวดพลังงานที่ลดลง ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า รวมถึงอาหารสดที่ลดลงจากผักและผลไม้สด
ตลาดแรงงาน ขยายตัวจากไตรมาสก่อน สะท้อนจากจำนวนผู้ประกันตน ม.33 ที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณการจ้างงานชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
แนวโน้มเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่าหดตัวจากไตรมาสก่อน จากการบริโภคภาคเอกชนที่หดตัวเล็กน้อยตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลง รายได้ภาคเกษตรมีทิศทางหดตัวตามราคาพืชสำคัญ การผลิตภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะหดตัวจากปัจจัยกดดันทั้งผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และอุปสงค์ของคู่ค้าชะลอลง การลงทุนภาคเอกชนหดตัว
โดยเฉพาะหมวดก่อสร้างในกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ยังมีอุปทานเหลือขายจำนวนมาก ประกอบกับสถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อทางด้านการท่องเที่ยวคาดว่าทรงตัวหลังหมดฤดูกาลท่องเที่ยวการเบิกจ่ายภาครัฐชะลอลงหลังการเบิกจ่ายงบลงทุนที่เร่งตัวในช่วงก่อนหน้า ทั้งนี้ ยังต้องติดตามผลของนโยบายการค้าต่อประเทศคู่ค้า ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค แนวโน้มราคาผลผลิตเกษตร ตลอดจนมาตรการภาครัฐในระยะต่อไป
นอกจากนี้ ธปท. สภน. ได้ประชาสัมพันธ์โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 (โครงการฯ) ที่ได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิมและมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง   ได้ครอบคลุมมากขึ้น สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงินที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ดังนี้
1. ขยายระยะเวลาเข้าร่วมโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นวันที่ 30 กันยายน 2568 เนื่องจากลูกหนี้ยังให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงการพิจารณาสถานะหนี้ของลูกหนี้ไว้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เช่นเดียวกับเฟสแรก และต้องเป็นสัญญาที่ทำก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567
2. ปรับเงื่อนไขของมาตรการเดิมและเพิ่มมาตรการใหม่
มาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้ามาตรการให้ครอบคลุมถึง
1) ลูกหนี้ที่มีวันค้างชำระเกิน 365 วัน และ 2) ลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระ 1-30 วัน และเคยปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมากให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้
มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” ขยายเพดานภาระหนี้ของลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย NPL โดย 1) สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี 2) สินเชื่อที่มีหลักประกัน ที่หลักประกันถูกยึดหรือขายทอดตลาดแล้ว และมีวงเงินสินเชื่อตอนทำสัญญาไม่เกินกว่าที่กำหนด ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี และ 3) สินเชื่อทุกประเภท ที่มียอดหนี้รวมดอกเบี้ยค้างจ่ายไม่เกิน 5,000 บาท
มาตรการ “จ่าย ตัด ต้น” เป็นมาตรการใหม่ ช่วยเหลือลูกหนี้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่เป็นหนี้เสีย NPL โดยมียอดหนี้สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี ซึ่งจะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขการผ่อนชำระคืนเป็นงวด โดยให้ผ่อนชำระ 2% ของเงินต้นคงค้าง เป็นระยะเวลา 3 ปี และค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักไว้ และหากอยู่จนจบโครงการและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด จะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในช่วง 3 ปีที่อยู่ในโครงการ
ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ทั้งเฟส 1 และเฟส 2 สามารถศึกษารายละเอียดและสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 หรือติดต่อสาขาของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือ BOT Contact Center ของ ธปท. โทร. 1213
สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยและสถานการณ์ชายแดน สามารถติดต่อสถาบันการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้ โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือดังนี้ (1) สินเชื่อบัตรเครดิต ปรับลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตให้ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่ ธปท. กำหนด เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน (2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท. และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล ให้วงเงินชั่วคราวกรณีฉุกเฉินเกินกว่าระดับที่ ธปท. กำหนดได้ (3) สินเชื่อทุกประเภท พิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนและสภาพคล่องแก่ลูกหนี้ เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ให้สามารถประกอบอาชีพ / ดำเนินธุรกิจต่อได้ และดูแลให้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดย ธปท. ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น